การเสมอกันของซาอุดีอาระเบีย กับโอมาน ทำให้ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยของเรา
ยังมีลุ้นอีกเฮือกที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายของศึกคัดบอลโลกเอเชีย
โดยนัดสุดท้ายในเดือน ก.พ.ปีหน้า ไทยจะต้องบุกไปเอาชนะโอมานถึงถิ่น แล้วลุ้นให้
ซาอุฯออกไปแพ้ออสเตรเลีย เราจึงจะสมหวัง แต่หากทีมออสซี่ กับซาอุฯเกิดเสมอกัน
เราก็ต้องถล่มโอมานให้ได้ถึง 3 ลูก ซึ่งต้องถือเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ
แต่พวกเราแฟนบอลชาวไทยก็ต้องเชียร์กันจนหยดสุดท้าย
น่าเสียดายเกมเมื่อวันก่อน เราพ่ายออสเตรเลีย 0-1 คาสนามศุภชลาศัย
ทำให้ไม่มีคะแนนติดมือ ไม่อย่างนั้นคงได้ลุ้นสนุกกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะแพ้ แต่ก็ต้องขอชื่นชมฟอร์มการเล่นว่าประทับใจคนดูเป็นยิ่งนัก
เพราะแข้งไทยทุกคนแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท
พยายามที่จะโค่นเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งโอเชียเนียลงให้ได้
เล่นได้เข้าตาอย่างนี้ไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขานแน่นอนครับ ผมรับประกัน
ซึ่งบุคคลที่พวกเราสมควรต้องยกเครดิตให้เต็มๆก็คือ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์
กุนซือเยอรมัน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นของนักบอลไทย ให้ดูดี มีทรง
ต่างจากอดีตอย่างชัดเจน
แม้บางครั้งเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น อาจจะสร้างความหงุดหงิดใจให้ผมอยู่บ้าง
โดยเฉพาะแนวรุกที่เชเฟอร์นิยมใช้ศูนย์หน้าเพียงตัวเดียวอยู่ร่ำไป
แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องเล็ก
เมื่อเทียบกับการที่เขาเข้ามาปรับจูนระบบให้กับทีมชาติไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอย้ำอีกรอบว่า สมาคมฟุตบอลฯตัดสินใจถูกต้องแล้วครับ
ที่เลือกโค้ชชาวด๊อยท์ชคนนี้มากุมบังเหียนทีมชาติ
เพราะฝีไม้ลายมือของ “วินนี่” ไม่ธรรมดาจริงๆ
ถือเป็นยอดกุนซือที่ฝากความหวังไว้ได้ว่าจะพาฟุตบอลไทยไปถึงฝั่งฝันในอนาคต
ถ้าเราให้เวลาเขาสร้างทีมอย่างจริงจัง แบบเป็นขั้นเป็นตอน
หรือถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ผมว่านับแต่นี้ไป ทีมชาติทุกชุด ไล่ตั้งแต่เยาวชน
มาจนถึงชุดใหญ่ ควรจะให้ เชเฟอร์ เข้าไปช่วยวางระบบให้
เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน
หากเจ้าตัวมีลูกน้องฝีมือดี ก็ให้ดึงมาช่วยคุมทีมในรุ่นต่างๆมันเสียเลย
จะได้ง่ายต่อการพัฒนาที่ต้องเชื่อมต่อกัน เหมือนรับไม้ผลัด
ซึ่งแนวทางนี้ ญี่ปุ่น เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในยุคที่มีฟิลิป ทรุสซิเยร์
กุนซือชาวฝรั่งเศส คุมทีมชาติชุดใหญ่
และทรุสซิเยร์คนนี้นี่แหละก็เป็นคนลงไปวางระบบให้กับทีมเยาวชนทั้งรุ่น 16 ปี 19 ปี
จนถึงทีมโอลิมปิก ให้ทีมชาติซามูไรแข็งแกร่ง อย่างยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้
ผมว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ ถ้าเราจะลอกโมเดลนี้มาพัฒนาทีมชาติไทย
เพราะมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น พิสูจน์มาแล้วว่ามันได้ผลจริง
อย่างไรก็ตาม ทุกความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่อดทนให้เวลากับมัน
เพราะอย่าลืมว่ากรุงโรมไม่มีทางสร้างเสร็จได้ในวันเดียว
แฟนบอลทั้งหลายก็เหมือนกัน ต้องรู้จักใจเย็นๆ
อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าทีมชาติชุดนี้มีเด็กฝาก–เด็กเส้น หรือเลือกที่รัก มักที่ชัง
ซึ่งผมว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
โค้ชแต่ละชาติ แต่ละคนมีมุมมอง และสไตล์การทำทีมที่แตกต่างกัน
จะให้ถูกอกถูกใจทุกคนไปซะหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้!!!
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
ยังมีลุ้นอีกเฮือกที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายของศึกคัดบอลโลกเอเชีย
โดยนัดสุดท้ายในเดือน ก.พ.ปีหน้า ไทยจะต้องบุกไปเอาชนะโอมานถึงถิ่น แล้วลุ้นให้
ซาอุฯออกไปแพ้ออสเตรเลีย เราจึงจะสมหวัง แต่หากทีมออสซี่ กับซาอุฯเกิดเสมอกัน
เราก็ต้องถล่มโอมานให้ได้ถึง 3 ลูก ซึ่งต้องถือเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ
แต่พวกเราแฟนบอลชาวไทยก็ต้องเชียร์กันจนหยดสุดท้าย
น่าเสียดายเกมเมื่อวันก่อน เราพ่ายออสเตรเลีย 0-1 คาสนามศุภชลาศัย
ทำให้ไม่มีคะแนนติดมือ ไม่อย่างนั้นคงได้ลุ้นสนุกกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะแพ้ แต่ก็ต้องขอชื่นชมฟอร์มการเล่นว่าประทับใจคนดูเป็นยิ่งนัก
เพราะแข้งไทยทุกคนแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท
พยายามที่จะโค่นเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งโอเชียเนียลงให้ได้
เล่นได้เข้าตาอย่างนี้ไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขานแน่นอนครับ ผมรับประกัน
ซึ่งบุคคลที่พวกเราสมควรต้องยกเครดิตให้เต็มๆก็คือ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์
กุนซือเยอรมัน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นของนักบอลไทย ให้ดูดี มีทรง
ต่างจากอดีตอย่างชัดเจน
แม้บางครั้งเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น อาจจะสร้างความหงุดหงิดใจให้ผมอยู่บ้าง
โดยเฉพาะแนวรุกที่เชเฟอร์นิยมใช้ศูนย์หน้าเพียงตัวเดียวอยู่ร่ำไป
แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องเล็ก
เมื่อเทียบกับการที่เขาเข้ามาปรับจูนระบบให้กับทีมชาติไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขอย้ำอีกรอบว่า สมาคมฟุตบอลฯตัดสินใจถูกต้องแล้วครับ
ที่เลือกโค้ชชาวด๊อยท์ชคนนี้มากุมบังเหียนทีมชาติ
เพราะฝีไม้ลายมือของ “วินนี่” ไม่ธรรมดาจริงๆ
ถือเป็นยอดกุนซือที่ฝากความหวังไว้ได้ว่าจะพาฟุตบอลไทยไปถึงฝั่งฝันในอนาคต
ถ้าเราให้เวลาเขาสร้างทีมอย่างจริงจัง แบบเป็นขั้นเป็นตอน
หรือถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ผมว่านับแต่นี้ไป ทีมชาติทุกชุด ไล่ตั้งแต่เยาวชน
มาจนถึงชุดใหญ่ ควรจะให้ เชเฟอร์ เข้าไปช่วยวางระบบให้
เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน
หากเจ้าตัวมีลูกน้องฝีมือดี ก็ให้ดึงมาช่วยคุมทีมในรุ่นต่างๆมันเสียเลย
จะได้ง่ายต่อการพัฒนาที่ต้องเชื่อมต่อกัน เหมือนรับไม้ผลัด
ซึ่งแนวทางนี้ ญี่ปุ่น เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในยุคที่มีฟิลิป ทรุสซิเยร์
กุนซือชาวฝรั่งเศส คุมทีมชาติชุดใหญ่
และทรุสซิเยร์คนนี้นี่แหละก็เป็นคนลงไปวางระบบให้กับทีมเยาวชนทั้งรุ่น 16 ปี 19 ปี
จนถึงทีมโอลิมปิก ให้ทีมชาติซามูไรแข็งแกร่ง อย่างยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้
ผมว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ ถ้าเราจะลอกโมเดลนี้มาพัฒนาทีมชาติไทย
เพราะมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น พิสูจน์มาแล้วว่ามันได้ผลจริง
อย่างไรก็ตาม ทุกความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่อดทนให้เวลากับมัน
เพราะอย่าลืมว่ากรุงโรมไม่มีทางสร้างเสร็จได้ในวันเดียว
แฟนบอลทั้งหลายก็เหมือนกัน ต้องรู้จักใจเย็นๆ
อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าทีมชาติชุดนี้มีเด็กฝาก–เด็กเส้น หรือเลือกที่รัก มักที่ชัง
ซึ่งผมว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
โค้ชแต่ละชาติ แต่ละคนมีมุมมอง และสไตล์การทำทีมที่แตกต่างกัน
จะให้ถูกอกถูกใจทุกคนไปซะหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้!!!
ที่มา ไทยรัฐออนไลน์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น