วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

บอลไทยในระบบเชเฟอร์



การเสมอกันของซาอุดีอาระเบีย กับโอมาน ทำให้ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยของเรา 
ยังมีลุ้นอีกเฮือกที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายของศึกคัดบอลโลกเอเชีย

โดยนัดสุดท้ายในเดือน ก.พ.ปีหน้า ไทยจะต้องบุกไปเอาชนะโอมานถึงถิ่น แล้วลุ้นให้ 
ซาอุฯออกไปแพ้ออสเตรเลีย เราจึงจะสมหวัง แต่หากทีมออสซี่ กับซาอุฯเกิดเสมอกัน 
เราก็ต้องถล่มโอมานให้ได้ถึง 3 ลูก ซึ่งต้องถือเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ 
แต่พวกเราแฟนบอลชาวไทยก็ต้องเชียร์กันจนหยดสุดท้าย

น่าเสียดายเกมเมื่อวันก่อน เราพ่ายออสเตรเลีย 0-1 คาสนามศุภชลาศัย 
ทำให้ไม่มีคะแนนติดมือ ไม่อย่างนั้นคงได้ลุ้นสนุกกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะแพ้ แต่ก็ต้องขอชื่นชมฟอร์มการเล่นว่าประทับใจคนดูเป็นยิ่งนัก 
เพราะแข้งไทยทุกคนแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท 
พยายามที่จะโค่นเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งโอเชียเนียลงให้ได้

เล่นได้เข้าตาอย่างนี้ไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขานแน่นอนครับ ผมรับประกัน

ซึ่งบุคคลที่พวกเราสมควรต้องยกเครดิตให้เต็มๆก็คือ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ 
กุนซือเยอรมัน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นของนักบอลไทย ให้ดูดี มีทรง 
ต่างจากอดีตอย่างชัดเจน

แม้บางครั้งเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น อาจจะสร้างความหงุดหงิดใจให้ผมอยู่บ้าง 
โดยเฉพาะแนวรุกที่เชเฟอร์นิยมใช้ศูนย์หน้าเพียงตัวเดียวอยู่ร่ำไป

แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องเล็ก 
เมื่อเทียบกับการที่เขาเข้ามาปรับจูนระบบให้กับทีมชาติไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ขอย้ำอีกรอบว่า สมาคมฟุตบอลฯตัดสินใจถูกต้องแล้วครับ 
ที่เลือกโค้ชชาวด๊อยท์ชคนนี้มากุมบังเหียนทีมชาติ


เพราะฝีไม้ลายมือของ “วินนี่” ไม่ธรรมดาจริงๆ 
ถือเป็นยอดกุนซือที่ฝากความหวังไว้ได้ว่าจะพาฟุตบอลไทยไปถึงฝั่งฝันในอนาคต 
ถ้าเราให้เวลาเขาสร้างทีมอย่างจริงจัง แบบเป็นขั้นเป็นตอน

หรือถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ผมว่านับแต่นี้ไป ทีมชาติทุกชุด ไล่ตั้งแต่เยาวชน 
มาจนถึงชุดใหญ่ ควรจะให้ เชเฟอร์ เข้าไปช่วยวางระบบให้ 
เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน

หากเจ้าตัวมีลูกน้องฝีมือดี ก็ให้ดึงมาช่วยคุมทีมในรุ่นต่างๆมันเสียเลย 
จะได้ง่ายต่อการพัฒนาที่ต้องเชื่อมต่อกัน เหมือนรับไม้ผลัด

ซึ่งแนวทางนี้ ญี่ปุ่น เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในยุคที่มีฟิลิป ทรุสซิเยร์ 
กุนซือชาวฝรั่งเศส คุมทีมชาติชุดใหญ่

และทรุสซิเยร์คนนี้นี่แหละก็เป็นคนลงไปวางระบบให้กับทีมเยาวชนทั้งรุ่น 16 ปี 19 ปี 
จนถึงทีมโอลิมปิก ให้ทีมชาติซามูไรแข็งแกร่ง อย่างยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้

ผมว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ ถ้าเราจะลอกโมเดลนี้มาพัฒนาทีมชาติไทย 
เพราะมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น พิสูจน์มาแล้วว่ามันได้ผลจริง


อย่างไรก็ตาม ทุกความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่อดทนให้เวลากับมัน 
เพราะอย่าลืมว่ากรุงโรมไม่มีทางสร้างเสร็จได้ในวันเดียว

แฟนบอลทั้งหลายก็เหมือนกัน ต้องรู้จักใจเย็นๆ 
อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าทีมชาติชุดนี้มีเด็กฝาก–เด็กเส้น หรือเลือกที่รัก มักที่ชัง 
ซึ่งผมว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
โค้ชแต่ละชาติ แต่ละคนมีมุมมอง และสไตล์การทำทีมที่แตกต่างกัน

จะให้ถูกอกถูกใจทุกคนไปซะหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้!!!



ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น