วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

แม่


...ตอนเด็กๆ เล็กๆ ใครคอยป้อนข้าว 
ตอนเด็กๆ เล็กๆ ใครคอยอาบน้ำให้
ตอนเด็กๆ ใครคอยห่มผ้า คอยใส่ใจ
ตอนเด็กๆ ใครคอยเช็ดก้นให้เราเสมอมา

...พอโตขึ้น เราเกเรแค่ไหน ใครคนนั้นไม่เคยโกรธ
พอโตขึ้น ทำเรื่องหนักใจให้ คนคนนี้ก็ไม่เคยว่า
พอโตขึ้น มีแฟนแล้ว คนคนนี้ก็รักเราตลอดมา
แล้วตอนนี้ ได้ตอบแทนอะไร ท่านบ้างแล้วหรือยัง...

ช่วยกดแชร์ด้วยนะครับ...จะได้มีลูกกตัญญูเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
 

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องน่ารู้ คู่ ตรุษจีน


“ซินเจียยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ อั่งเปาตั่วตั่วไก๊” จู่ๆ เช้านี้ เมื่อเปิดคอมพิวเตอร์มา หันไปทางเว็บนั่น นี่ โน่น ก็พบกับคำอวยพรภาษาจีนที่เราได้ยินคุ้นหูกันมาเป็นเวลานานปรากฎอยู่ทั่วไป  PauLLiE เลยได้สดับว่า อ้อ!! เทศกาลปีใหม่ของชาวจีน หรือที่เราเรียกกันว่า “ตรุษจีน”  กำลังมาเยือนอีกหนแล้วสินะ ซึ่งปีนี้มาเร็วหน่อย โดยจะตรงกับวันจันทร์ ที่ 23 มกราคม 2555 ที่จะถึงนี้  คราวนี้หลากคำถามในความทรงจำที่อยากรู้มานานของวันตรุษจีนก็พรั่งพรูออกมา เหมือนท่อประปาแตก จำเป็นเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหากูรูผู้มีความรู้มาตอบคำถามที่ค้างคาใจ ซึ่ง PauLLiE เชื่อว่า คนไทย แบบไทยแท้ (ที่ไม่ต้องกระแดะมีชื่อฝรั่งอย่าง PauLLiE ) น่าจะอยากรู้เหมือนกัน ถามเพื่อนหรือรุ่นพี่รุ่นน้องวัยใกล้เคียงกัน ก็ยากที่จะหาคนมาช่วยตอบได้  และสุดท้ายกูรูผู้โชคดีของเราก็หนีไม่พ้น กูรู GooGle ที่ถามอะไรตอบได้ มาช่วยไขความลับของเทศกาลนี้ มาดูกันค่ะว่า หลากคำถามของตรุษจีน ที่น่ารู้มีอะไรบ้าง



“ตรุษจีน” มีที่มาอย่างไร (ตำนานวันตรุษจีน) ?
อันว่าวันตรุษจีนนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เป็นวันปีใหม่ของชาวจีนเท่านั้นนะคะ จริงๆแล้ว เค้ามีตำนานเล่าขานถึงที่มาของวันนี้กันค่ะ โดยเล่าสืบต่อกันมาว่า ในสมัยโบราณ มีสัตว์ป่าดุร้ายน่ากลัว ชื่อว่า “เหนียน” อาศัยอยู่ในป่าทึบ มันจะออกอาละวาดกัดกินและทำร้ายผู้คนอยู่เสมอ ทำให้พระเจ้าไม่พอใจและลงโทษด้วยการ อนุญาตให้ลงจากเขาได้เพียง 1 ครั้ง ในรอบ 365 วัน โดยจะอยู่ในช่วงปลายฤดูหนาว  ต้นฤดูใบไม้ผลิ (วันที่ 30 เดือน 12)  บรรดาผู้คนจึงต้องสะสมเสบียงในช่วงเวลาดังกล่าว และไม่ออกจากบ้าน พร้อมปิดประตูอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้ “เหนียน”เข้ามาทำร้ายได้ และเมื่อถึงรุ่งเช้า วันแรม 1 ค่ำ เดือน 1 “เหนียน” กลับไป ผู้คนก็จะเปิดประตูออกมา แสดงความยินดี ที่ไม่ถูกทำร้าย

ต่อมา ผู้คนพบว่า “เหนียน” ที่น่ากลัว มีจุดอ่อน อยู่ 3 ประการคือ กลัวเสียงดัง ( เคยมาเจอเด็กเล่นหวดแส้ เสียงดัง แล้ววิ่งหนีไป) , กลัวสีแดง (เคยมาเจอชาวบ้านตากเสื้อผ้าสีแดงสด แล้วตกใจ วิ่งหนีไป) และ กลัวไฟ ( เคยมาเจอกองไฟกองใหญ่ แล้วตกใจวิ่งหนีไป ) จึงคิดหาวิธีกำหราบ “เหนียน” โดย เมื่อวันสุดท้ายปลายฤดูหนาว  ต้นฤดูใบไม้ผลิ (วันที่ 30 เดือน 12)  มาถึง ทุกๆบ้าน จะนำกระดาษสีแดงมาติดที่ประตูบ้าน แขวนโคมไฟสีแดง จุดไฟสว่างรอบบ้าน พร้อมจุดประทัดและตีฆ้องรัวกลองเสียงดัง อย่างต่อเนื่อง เมื่อ “เหนียน” มาเจอก็ตกใจ ไม่กล้าเข้ามาทำร้ายผู้คนอีก รุ่งเช้าผู้คนต่างพากันยินดี กล่าวคำอวยพรให้แก่กัน และรับประทานอาหารร่วมกันอย่างมีความสุข ต่อมาจึงได้นับเอาวันแรกของปี และเป็นวันเฉลิมฉลองที่มีแต่ความสุข นี้ว่า “วันตรุษจีน” ค่ะ ( เรื่องเล่าตำนานของเค้าน่ารักดีนะคะ)



ข้อห้าม ในช่วงวันตรุษจีน 
ช่วง วันตรุษจีนนี้ มีข้อห้ามหลายข้อที่ชาวจีนเชื่อว่า ต้อง งด ละเลิก ห้ามปฏิบัติโดยเด็ดขาด เพื่อให้ชีวิตนับแต่วันปีใหม่นี้ เจริญรุ่งเรือง มาดูกันค่ะว่า ความเชื่อเหล่านั้น มีอะไรบ้าง


1.ห้ามทำความสะอาดบ้าน เชื่อกันว่า การทำความสะอาดและทิ้งขยะในวันตรุษจีนนี้ จะเป็นการ กวาดเอา โชคลาภ เงินทอง สิ่งดีดี ออกไปจากบ้าน ทั้งนี้ บ้านส่วนใหญ่ จะทำความสะอาดชุดใหญ่ไปแล้วก่อนถึงวันตรุษจีน เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องห่วงเรื่องความสกปรกในบ้าน แต่หากบ้านใด มีขยะเยอะ ต้องทำความสะอาดจริงๆ ก็มีวิธีการ คือ ให้กวาดขยะไว้ที่มุมบ้านก่อน แล้วค่อยเก็บไปทิ้งในวันถัดไป


2.ห้ามสระผม หรือตัดผม การสระผม หรือ ตัดผมนั้น ในภาษาจีน ออกเสียงคล้ายกับคำว่า “มั่งคั่ง” ในวันตรุษจีนนี้ จึงไม่นิยมตัดผม หรือ สระผม เพราะเชื่อว่า จะตัดเอาความมั่งคั่ง ทิ้งไป

3.ห้ามพูดคำหยาบ และ ห้ามทะเลาะเบาะแว้งกัน ในวันตรุษจีนนี้ การพูดคำหยาบ การทะเลาะเบาะแว้ง รวมไปจนถึงการพูดเกี่ยวกับความตาย ถือว่าเป็นสิ่งไม่เหมาะสม ห้ามทำโดยเด็ดขาด เพราะถือว่าจะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดปี ทั้งนี้ การพูดอะไรก็ตามเกี่ยวกับเลข 4 ก็ไม่สมควรเช่นเดียวกัน เพราะเลข 4 ออกเสียงคล้ายกับคำว่า “ซี้” ซึ่งหมายถึงความตาย ค่ะ

4.ห้ามกินโจ๊ก และ เนื้อสัตว์ เชื่อกันว่า ในอดีตอาหารของคนจนคือ โจ๊ก เพราะฉะนั้น ในวันตรุษจีน ชาวจีนจะไม่ทานโจ๊กโดยเด็ดขาด เพราะจะเป็นการขัดขวางโชคลาภ ทำให้ตนเองไม่ร่ำรวย ทำตัวเหมือนคนจน ทั้งนี้ สำหรับเนื้อสัตว์ที่ห้ามทานในวันตรุษจีนนั้น เชื่อ กันว่า เทพเจ้า ที่ลงมาในวันตรุษจีนนั้นเป็นมังสวิรัติ เพราะฉะนั้น เราๆจึงไม่ควรทานเนื้อสัตว์ด้วย

5.ห้ามซักผ้า  สำหรับความเชื่อนี้มีที่มาจาก  การที่ชาวจีนเชื่อว่า “เทพเจ้าแห่งน้ำ” เกิดในวันตรุษจีน หากมีการซักผ้า นำน้ำมาทำให้สกปรก จะเป็นการลบหลู่เทพเจ้า  จึงห้ามซักผ้าในวันนี้เด็ดขาด

6.ห้ามใส่ชุดขาว – ดำ ในวันนี้ชาวจีนส่วนใหญ่จะนิยมใส่เสื้อผ้าสีแดง ซึ่งเป็นสีที่เชื่อว่าจะนำความโชคดีมาให้ ส่วนสีขาว และ สีดำนั้น ห้ามใส่โดยเด็ดขาด เพราะ ถือว่า เป็นสีแห่งความตาย ใครใส่ ก็จะถือเป็นลางร้าย จะพบเจอแต่สิ่งไม่ดี เป็นอัปมงคล

7.ห้ามให้ผู้อื่นยืมเงิน การให้ยืมเงินในวันนี้ ขาวจีนเชื่อว่าจะทำให้ทั้งปี มีคนเข้ามายืมเงินตลอด การยืมนี้ หมายรวมถึงการยืม ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆด้วย และ หากใครมีหนี้สินอะไร ก็ต้องชำระคืนให้แล้วเสร็จก่อนวันตรุษจีน เพื่อที่จะได้ไม่มีหนี้สินตลอดปี

8.ห้ามทำของแตก การทำของแตกในวันตรุษจีนนั้น ชาวจีนเชื่อว่าจะนำพาความโชคร้ายมาให้ ครอบครัวจะแตกแยก หรือ มีคนในครอบครัวเสียชีวิต ในวันนี้ ชาวจีนจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่หากมีการทำของแตกจริง ก็มีวิธีการแก้เคล็ดคือ ให้พูดว่า “luo di ka hua” ซึ่งแปลว่า “ดอกไม้จะเบ่งบานเมื่อตกสู่พื้น”

9.ห้ามซื้อรองเท้าใหม่ คำว่ารองเท้า ในภาษาจีน ออกเสียงว่า Hai ซึ่งมีสำเนียงคล้ายการถอนหายใจ ชาวจีนเชื่อว่าเป็นสัญญาณการเริ่มต้นปีที่ไม่ดี จึงไม่นิยมการซื้อรองเท้าใหม่ในตลอดเดือนแรกของปีค่ะ

พิธีการไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ (เทพไฉ่ ซิ่งเอี๊ย) ในวันตรุษจีน... ยังมีเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับตรุษจีนอีกมากมาย อ่านต่อคลิกhttp://www.painaidii.com/diary/diary-detail/000076/lang/th/



ที่มา : http://board.postjung.com/596724.html 

"เปรม"เคยถาม"แม้ว-อ้อ" ตรงๆ"บอกให้ชัดผู้มีบารมีคือใคร ..ยันไม่ใช่ศัตรู ปฏิวัติ เขามีเหตุผลพอสมควร"



"ป๋าเปรม"เปิดใจ "ผมไม่ได้เป็นศัตรูกับทักษิณ" เผยเคยถามตรงๆ ว่า "ผู้มีบารมีนอกรธน." คือตนใช่หรือไม่ แต่ทั้ง 2 ผัวเมียไม่ตอบ ยันไม่ได้อยู่เบื้องหลังปฏิวัติ แต่ที่ไปเข้าเฝ้าวันที่ 19 ก.ย.เพื่อถวายการรับใช้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น ได้เผยแพร่ถ้อยคำของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ที่กล่าวแก่นักเรียนเก่าและศิษย์เก่ามหาวชิราวุธ จ.สงขลา ระหว่างมาให้กำลังใจ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมา มีทั้งแบบคลิปเสียง และถอดความ สาระสำคัญปฏิเสธข้อกล่าวหาอยู่เบื้องหลังการโค่นล้ม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ความว่า ...

"ขอพูดบางกอกน่ะ ใจคอไม่อยากจะพูดเท่าไหร่ คุณ ทักษิณ ท่านกล่าวหา 3 อย่าง ข้อ 1 เขาเปิดเผยว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ คือเรา คือคนเขารู้หมดแล้ว ตั้งแต่คุณทักษิณพูดตั้งแต่วันนั้นแล้ว คุณทักษิณว่า แต่เราพยายามถามเขาตอนนั้น ว่าหมายถึงเราใช่ไหม เขาก็ไม่ตอบ แล้วเราก็ถามอีกว่า ถ้าไม่ใช่เรา ก็ขอให้บอกมาว่าใคร ให้รู้กันชัดๆ ไม่ได้ถามแต่คุณทักษิณ ให้คนถามคุณหญิงอ้อ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ) ว่า งั้นให้ช่วยพูดหน่อยได้ไหมว่า ที่คุณทักษิณพูดว่า ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ใช่ผม



(อ่านต่อ)

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1238508625&grpid=10&catid=01

 

โธ่....ไอ้ตุ๊ดเฒ่า กาลีบ้านกาลีเมือง มึงเดินสายประกาศ จ๊อกกี้ขี่ม้าแล้วก็ไป
มึงนั่งวางแผนอยู่หัวโต๊ะ โดยมีไอ้ยุทธ ยายเที่ยง พร้อมขุนทหารที่มึงบอกว่าให้ค่า ปว.ด้วยตังค์มหาศาล
เสียงไอ้ยุทธวางแผน ยังมีเล็ดลอดออกสื่่อมา ไหนละผู้มีคุณธรรม ตอนนี้มึงยังตอแหลอยู่เลย

บ้านไร้กังวลของมึงน่ะ น่าจะนำมาทำสถานที่่ปฎิบัติธรรมมากกว่า บ้านพักส่วนตัวของมึง
ไอ้แก่ชาติชั่ว วันนี้แล้วยังไม่มีสำนึก ของความเป็นคนเลย ไอ้ตุ๊ดชั่ว




อ่านต่อที่: http://turnleftthai.blogspot.com/2012/01/blog-post_06.html

มีรัฐประหารแน่........???


วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

กาแฟกับสุขภาพ


หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ากาแฟจะทำให้มีการหลั่งสาร cortisone และ adrenaline ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข


บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน
ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี
ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ
ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้


บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ

 
1.การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน
 
2.ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
 
3.สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
 
4.ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

  แหล่งข้อมูล : www.ku.ac.th/e-magazine - นิตยสารเกษตรศาสตร์ ฉบับที่ 68 กุมภาพันธ์ 2549
 

เต้นเพื่อ สุขภาพ

6 เทคนิคการดูแลผิวหน้าด้วยผลไม้

ทุกวันนี้ผิวโดนทำร้ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสงแดด หรือมลภาวะต่างๆ ถึงเวลา Back to the nature เพิ่มเติมความสดใสคืนสู่ผิวกันแล้วนะจ๊ะ สำหรับหนุ่มสาวที่อยากหน้าใสสวยเด้ง ฟังทางนี้ โบว์ มี 6 สูตรมาร์คหน้าง่ายๆ ที่จะทำให้หน้าขาวใส มาฝากกันโดยใช้ผลไม้มาเป็นส่วนประกอบหลัก
1.สูตรหน้าใสด้วยน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย
น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
วิธีทำ: ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้าประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด
§  มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
2. สูตรหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ส่วนผสม: แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำเนื้อแอปเปิ้ลมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้าแล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็น
§  สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
3. สูตรกระชับรูขุมขน
ส่วนผสม: กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ดออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว
วิธีทำ: ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยว นำไปปั่นให้ละเอียดจนเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
§  สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
4. สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ส่วนผสม: โยเกิร์ต ½ ถ้วย
น้ำมันดอกทานตะวัน
มะนาวสดช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ผสมโยเกิร์ต น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด
§  สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
5. สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
ส่วนผสม: กล้วย 1 ผล
น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: บดกล้วยกับน้ำผึ้ง ผสมให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น
§  สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
6. สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ส่วนผสม: แตงกวา 1 ผล หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ
ไข่ไก่ 1 ฟอง(ใช้เฉพาะไข่ขาว)
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: นำแตงกวา ไข่ไก่(ใช้เฉพาะไข่ขาว)และมะนาว ไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น
 เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม
Tips:
  ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี
 ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง
 ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน
  เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

ผิวสวยด้วยผลไม้

1 ส้ม
ส้มซึ่งมีหลายชนิดและเลือกรับประทานได้ ผลที่มีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษซึ่งทำให้ส้มนั้น อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนไวตลอดเวลา
2 มะนาว
นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย ซึ่งมะนาวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
3 ฝรั่ง
ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยซึ่งคอยบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือคอลลาเจนตัวเดียวกับที่ทำให้หน้าสาวๆอย่างเราเต่งตึงนี่แหละค่ะ นอกจากนี้น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง มีฤทธิ์แก้คออักเสบ เสียงแห้งด้วยค่ะ

โรคของคนเก่ง คือ....ฟุ้งซ่าน


โลกและชีวิต มีคนเก่ง ๆ มาปรึกษาด้วยอาการฟุ้งซ่านมากขึ้นส่วนมากจะเรียนเก่งหรือทำงานเก่ง หน้าที่การงานดี
มีอนาคตแต่ในชีวิตส่วนตัวไม่ค่อยมีความสุขเลยเริ่มตั้งแต่นอนไม่หลับติดต่อกัน กังวล คิดมาก คิดซ้ำซากกลัวว่าจะอ่อนเพลีย ก็เลยรู้สึกอ่อนเพลียจริง ๆ ทุกครั้งอารมณ์เสีย หงุดหงิดง่าย พวกนี้มีความคิดที่มากเกินปกติ คิดตลอดเวลา ขยันหาข้อมูลความคิดมาใส่สมองทั้งจากอินเตอร์เน็ต สิ่งพิมพ์ การสัมมนา ทีวี การสนทนา ฯลฯ สมองจึงเต็มไปด้วยข้อมูลที่มากจนล้นสมองออกมาบางคนรู้ว่าควรจะลบ (delete) ข้อมูลออกจากสมองบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะลบอย่างไร

แถม...กลับไปได้ข้อมูลที่ไม่เหมาะสมมาเพิ่มเติมใส่สมองเข้าไปอีก นี่คือวงจรชีวิตของคนที่เรียนเก่งหรือทำงานเก่ง ที่มักคิดฟุ้งซ่านที่พบได้มากขึ้นในทุกวันนี้ พวกนี้มักมีสมองซีกซ้ายทำงานดี ชอบคิดในแนวหาเหตุผล วิเคราะห์ วิจารณ์ได้เก่ง และพวกนี้มักใช้สมองซีกขวาเพื่อความสุนทรีย์ การจินตนาการที่ดี ความรัก มิตรภาพ ศิลปะ ความงามได้น้อย

ข้อแนะนำง่าย ๆ สำหรับพวกฟุ้งซ่าน ก็คือ
1. หาเวลาฝึกสติ ทำสมาธิทุกวัน จะเป็นการกรองความคิดที่ไม่เหมาะสมออกไปและลดการปรุงแต่งอารมณ์ อยู่กับปัจจุบัน ทำให้คิดฟุ้งซ่านน้อยลง
2. ออกกำลังกายแบบไม่คาดหวังผลให้มากขึ้นทุกวัน ๆ ละ 45 นาที เช่น การวิ่ง แต่เลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอน
3. ฝึกการนอนอย่างมีสติและมีความสุข หลีกเลี่ยงการทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน เช่น ออกกำลังกาย อ่านหนังสือสนุก ดูหนังเร้าใจก่อนนอน ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่คิดเรื่องงาน

- รู้จักการนอนอย่างปล่อยวาง คือทำจิตให้ว่างก่อนนอนโดยการหายใจลึก ๆ ช้า ๆ จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออกรูจมูก และตั้งจิตบอกกับตัวเองว่าจะนอน – หลับ – พัก – ผ่อนเสียที
- เมื่อนอนหลับได้แค่ไหนก็แค่นั้น อย่ากังวล ถ้าหลับลึก ๆ 4 – 5 ชั่วโมงพอแล้ว ตื่นขึ้นมาให้ทำท่ากระฉับกระเฉง บอกกับตัวเองว่าโชคดีที่ตื่นขึ้นมาได้ วันนี้คงพบสิ่งอื่น ๆที่น่าสนใจมากขึ้นบ้าง
4. ลดกิจกรรม “วิเคราะห์” ลงบ้าง ปล่อยกาย – ใจ – และความรู้สึก ให้สบายมากขึ้น บอกตัวเองว่าต้องการความสุข รู้จักการพอ ยอม และไม่เปรียบเทียบกับคนอื่น

ถ้าวิเคราะห์มากมักจะจับผิดเก่ง ทั้งตัวเองและสิ่งรอบตัว
คนเก่ง ๆ ที่ฟุ้งซ่านมีมากขึ้น ที่มาปรึกษาก็มาก หลาย ๆ คนดีขึ้น บางคนต้องใช้ยาช่วยหรือใช้จิตบำบัด

จงเก็บพลังความคิดที่ดี ๆ ไว้ใช้อย่างสร้างสรรค์เถิด
ถ้ามีความคิดมากไปตลอดเวลาเข้าข่ายฟุ้งซ่าน จะเป็นอุปสรรคในการทำงาน และจะเป็นโรคจิต โรคประสาทได้

เคล็ดลับน่ารู้ วิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอน


หลังจากที่ตื่นนอน บางครั้งอาจจะเกิดอาการอ่อนเพลีย วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอนมากฝากกัน…

- เริ่มต้นด้วยการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ การดื่มน้ำนั้นเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายของเราพักผ่อนมาทั้งคืน ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น
- ใช้เวลาสัก 5-10 นาที ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย วิธีการนี้จะเหมือนกับการบิดขี้เกียจตอนเช้า เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวันนั้น เป็นไปได้ว่าต้องเน้นการออกกำลังที่ส่วน กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ
- การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนบ้างในมื้อเช้า ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้านั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน
- การเปลี่ยนเครื่องดื่ม เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น
ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.
ที่มา : จากเว็บ thai-forum

เคล็ดลับเลือกผู้ชายให้เวิร์ก

เลือกผู้ชนะไม่ใช่ผู้แพ้
หัดมองผู้ชายที่มีลักษณะของผู้ชนะ นั่นคือคนที่สามารถให้ความสุขและทำให้เราเจ็บปวดน้อยที่สุด อย่าไปเสียเวลากับผู้ชายที่เป็นผู้แพ้ตลอดกาล ไม่ว่าจะทำอะไรก็ล้มเหลวไปซะหมด แค่ครั้งสองครั้งก็ยังพออ้างได้ว่า โชคไม่ค่อยดี แต่ถ้าโชคไม่ดีสักสิบครั้งนี่เริ่มส่งกลิ่นทะแม่ง ๆ แล้ว ดังนั้นอย่าไปมัวงมโข่งเสียเวลากับผู้ชายที่เป็นผู้แพ้ตลอดกาลเลยค่ะ

สำรวจความเร้าใจ
มีสุภาษิตกล่าวไว้ว่า ความรักไม่อาจงอกงามได้หากปราศจากความใคร่ ลองสังเกตดูสิว่า ผู้ชายคนนี้เร้าอารมณ์สามารถทำให้เรารู้สึกฮ๊อตได้ไหม ถ้าจืดชืดจนกระตุ้นไม่ขึ้นเลยละก็ขืนลองคบต่อไปความสัมพันธ์ที่มีก็จะไร้ซึ่งความโรแมนติคอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นคบเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องยังมันส์กว่า ต่อให้ผู้ชายคนนั้นรวยล้นฟ้าก็เถอะ เรื่องของอารมณ์ฮ๊อตนั้นเป็นเรื่องของความคลิกกันตามธรรมชาติ…เงินซื้อไม่ได้แน่นอน
มองภาพรวมอย่าปิ๊งแค่ บางอย่าง
เสน่ห์ของผู้ชายประเภทที่ดึงดูดผู้หญิงได้ชะงัดคือ ท่าทางที่บึกบึนเข้มแข็งแมนสุด ๆ บวกกับอุปนิสัยแบบเด็กผู้ชาย ส่วนผสมแบบนี้ละที่สยบผู้หญิงมานักต่อนัก แต่ของแบบนี้เป็นแค่สิ่งฉาบหน้าเท่านั้น บุคลิก ที่อยู่ภายใต้เสน่ห์ต่างหากที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน ถ้าอยากได้ความรักที่เสมอต้นเสมอปลาย มั่นคง และเติมเต็ม บุคลิกนี่ละคือตัวบ่งชี้ได้ดี
มองหาผู้ชายหัวใจอบอุ่น
ไม่รู้เป็นอย่างไร คนที่เฉยเมยเย็นชามักดึงดูดเราให้เข้าหา หรือเป็นเพราะสัญชาตญาณที่ชอบความท้าทายซึ่งเป็นอุปนิสัยของมนุษย์ประเภทหนึ่ง ดังนั้นเวลาในชีวิตจึงต้องเสียไปกับคนประเภทนี้โดยเปล่าประโยชน์ แถมยังได้ความเจ็บช้ำกลับมาเป็นที่ระลึกอีกด้วย ถ้าอยากได้ความรักความสัมพันธ์ที่อบอุ่น ห่วงใย อ่อนโยนและเห็นอกเห็นใจกัน จึงต้องมองหาผู้ชายที่มีคุณสมบัติแบบนี้ในตัวอยู่แล้ว เพราะการคิดเปลี่ยนแปลงผู้ชายนั้นเป็นเรื่องยากและเสียเวลาโดยใช่เหตุ ผู้ชายให้เราได้เฉพาะสิ่งที่มีอยู่ในตัวเท่านั้น อย่าไปหวังอะไรมาก
มองคนที่มีชีวิตคล้ายคลึงกัน
วู้ย…ผู้ชายคนนี้ช่างหล่อเร้าใจ ล่ำบึก ซิกแพ็คส์ มองมุมไหนก็ชวนให้เร้าใจฮ๊อตสุด ๆ เรียกว่าดึงดูดใจเกินบรรยาย แต่เขาก็อาจจะไม่ใช่ คนที่ใช่ สำหรับเรา ถ้าเราและเขาไม่มีอะไรที่คล้ายกันเลย ไม่ว่าความสนใจ ความชื่นชอบหรือการใช้ชีวิต ถ้ายังฝืนคบกันไปความแตกต่างก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง นานวันเข้าก็ยิ่งสะสมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังขยายวงกว้างจากเรื่องเล็กพาลกลายเป็นเรื่องใหญ่ ในช่วงแรกของความสัมพันธ์นั้นความแตกต่างอาจเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่พอปล่อยไปเรื่อย ๆ ก็จะคอยขัดขวางความสัมพันธ์อยู่เป็นระยะ ถ้าหากมีความชอบและการชีวิตที่คล้ายกัน จะทำให้ความรักความผูกพันนั้นมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว ความแตกต่างกันมันอาจจะเร้าใจในช่วงแรก แต่ไม่ใช่เนื้อแท้ของความรัก
มองคนที่มีบุคลิกดี ไม่ขัดแย้ง
ทุกคนย่อมชื่นชอบคนที่มีบุคลิกดี บุคลิกบางอย่างของเขาอาจเข้ากันได้ดีกับบุคลิกบางอย่างของคุณมากกว่าคนอื่น ๆ คนที่มีบุคลิกขัดแย้งคือมักมีด้านลบในตัวสูง เช่น ความผิดหวังเจ็บปวด ดีไม่ดีอาจเป็นคนแปรปรวนอีกด้วย ถ้าเราอยากมีความสุขที่มั่นคงสม่ำเสมอและยาวนานละก็ ควรเลือกผู้ชายที่เข้ากับเราได้มากกว่าผู้ชายที่ขัดแย้งกับเรา
สรุปว่าการเลือกผู้ชายว่าต้องการแบบไหนนั้น ก็คือการเรียนรู้ความต้องการของตัวเองว่าอยากได้แบบไหนไม่อยากได้แบบไหน รู้ใจตัวเองให้ถ่องแท้เสียก่อน จะได้นำมาเป็นแนวทางในการพิจารณาผู้ชายให้เหมาะสม.

10 อันดับ ข้อห้ามอย่าทำในเกาหลี



อันดับที่ 10 อย่าหวังพบคนถูกใจ

     ไอ้ที่คุณวาดฝันมาจากหนังรัก เกาหลีทั้งหลายและหวังจะมาพบเจอหนุ่ม ตี๋หล่อผู้สุภาพหรือสาวน่ารักจิ้มลิ้มในแดนกิมจิ คุณควรยุติมันไว้แค่นั้น เพราะหนุ่มสาวส่วนใหญ่ในเกาหลีนั้นหน้าตาธรรมดามากๆ(ค่อนข้างไปทางแย่) ไม่ว่าจะไปเดินในแหล่งที่อุดมวัยรุ่นแค่ไหนก็ยังหาที่โดนใจได้ยาก เพราะที่เราเห็นสวยหล่อในหนังละครนั้นเป็นประชาชนส่วนน้อยครับ (หนุ่มสาวชาวไทยเจ๋งกว่าเยอะ)


อันดับ ที่ 9 อย่าหวังพึ่ง ฟุด ฟิต ฟอ ไฟ

     แม้คุณจะได้ความมั่นใจในการฟุด ฟิต ฟอ ไฟ จากครูเคทมาแล้วหลายครั้ง แต่การพูดภาษาอังกฤษในเกาหลีต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เพราะคนที่นี่นอกจากจะไม่พูดอังกฤษแล้ว เขาก็ไม่มองว่าคนพูดอังกฤษได้จะดูเป็นคนเก่งหรือน่าชื่นชมแต่อย่างใด จึงเห็นได้ชัดเจนว่าในเกาหลีมีชาวฝรั่งมาท่องเที่ยวกันน้อยเหลือเกิน

อันดับ ที่ 8 อย่าซื้อของปลอม!

     ไม่ใช่จะมาโปรโมตเรื่อง ลิขสิทธิ์ทางปัญญา แต่จะบอกว่าคุณภาพของก๊อปปี้ในเกาหลีก็ไม่ต่างจากสินค้าย่านประตูน้ำสักเท่า ไหร่ ดังนั้น หากคุณจะซื้อของปลอมจากที่นั่น และมาย้อมแมวหลอกเพื่อนว่าเป็นสินค้าจากเกาหลีคุณก็อาจจะเสียเพื่อนเอาง่ายๆ

อันดับ ที่ 7 อย่ามักง่าย(ในร้านฟาสต์ฟูด)

     แม้กาแฟเย็นจะไม่เอาอ่าว แต่เรื่องความเป็นระเบียบวินัย และสปิริตการรักษาความสะอาดในร้านฟาสต์ฟูด คงต้องยกให้คนเกาหลี คุณคิดดูสิ นอกจากจะรณรงค์ให้คนเก็บภาชนะ เทขยะลงถังแล้ว ยังละเอียดถึงขั้นให้แยกประเภทภาชนะอีกด้วย และคนเกาหลีทั้งวัยรุ่นขาโจ๋หรือคนแก่แค่ไหน ต่างก็พร้อมใจกันทำเหมืนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ดังนั้นคุณอย่าเผลอทำตัวเหมือนในบ้านเราเด็ดขาด!

อันดับ ที่ 6 อย่าสั่งกาแฟเย็น(ในร้านฟาสต์ฟูด)

     ไม่เชื่ออย่าลบลู่ ถ้าคุณไม่อยากเสียเงินซื้อน้ำล้างจานฟรีๆไม่ได้พูดโอเว่อร์ เพราะกาแฟเย็นในร้านฟาสต์ฟูดของเกาหลีรสชาติแย่จริงๆ สันนิษฐานได้ว่าที่เกาหลีมีร้านกาแฟอยู่มากมาย และผู้คนก็ชอบที่จะดื่มกาแฟตามร้านเหล่านั้นมากกว่าดังนั้น เครื่องดื่มชนิดนี้ในร้านฟาสต์ฟูดจึงไม่ได้รับการปรับคุณภาพตามมาตรฐาน ISO แต่อย่างใด

อันดับ ที่ 5 ระวังถูกชน!

     ไม่ได้หมายถึงถูกรถชนนะครับ คนเกาหลีนี่แหละที่จะชนคุณจนหงายเก๋งได้ แถมยังไม่มีแม้แต่คำขอโทษ เพราะคนที่นี่ทั้งชายและหญิงต่างเดินกันเลนไหนเลนนั้น ใครขวางข้าชน ซึ่งถ้าคุณต้องสัญจรบนทางเท้าอันพลุกพล่านในเกาหลี และแน่ใจว่าไปไม่รอด ขอแนะนำให้สวมฟองน้ำไว้ที่หัวไหล่ตั้งแต่ลงจากเครื่อง บิน!

อันดับ ที่ 4 อย่าทำอะไรกวนใจโชเฟอร์

     คนเกาหลีดุมาก อันนี้เรื่องจริง แม้โชเฟอร์แท็กซี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น หากคุณนั่งอยู่บนรถของเขาและเกิดนึกจะหยิบจับปรับช่องแอร์อะไรก็ตาม โชเฟอร์จะตวาดคุณทันทีด้วยน้ำเสียงเหมือนคุณจะเบี้ยวค่าโดยสาร และหากโชคไม่ดีคุณจะโดนตีมือดังเพี๊ยะ! ให้งงเล่น

อันดับ ที่ 3 อย่าโบกแท็กซี่คันสีดำ

     คุณอย่าใช้ความเคยชินในเมืองไทย ที่ว่าจะต้องขึ้นแท็กซี่รุ่นใหม่ เท่านั้นเพราะถ้าคุณ เผลอไปใช้บริการแท็กซี่สีดำที่มักจะลวงตาคุณด้วยยี่ห้อเบนซ์หรือ บีเอ็มดับเบิ้ลยู คุณอาจจะหมดตัวเอาง่ายๆเพราะรถประเภทนี้คือรถ เดอลุกซ์(ภาษาเกาหลีเรียก ว่าโมบอม) และมิเตอร์จะเริ่มต้นราคาที่แพงกว่ารถคันอื่นๆเกือบเท่าตัว! (ทางที่ดีคุณควรจะหัดขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินจะดีกว่า)

อันดับ ที่ 2 ฉ่อน จี ฮยอน ไม่ใช่ จอน จี ฮุน

     หากคุณคลั่งไคล้ฉ่อน จี ฮยอน มากถึงขั้นจะบินไปหาเธอที่เกาหลีคุณต้องท่องและออกเสียงชื่อของเธอให้ขึ้นใจ ว่าฉ่อน จี ฮยอนไม่ใช่ จอน จี ฮุนถ้าคุณไปถามคนที่นั่นว่ารู้จัก จอน จี ฮุน บ้างไหมเขาอาจจะเข้าใจว่าบุคคลนี้เป็นอาชญากรตัวร้าย และคุณคือผู้สมคบคิดข้ามแดน (ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อคน สถานที่ สิ่งของ เมื่ออยู่ที่นั่นแล้วคุณควรออกเสียงให้ถูกต้อง)

อันดับ ที่ 1 คุณคือ Tourist ไม่ใช่ Business man

     ถ้าคุณไม่อยากเจอปัญหาหนักอกกับใบหน้าเจี้ยมๆ ของ ต.ม.(กองตรวจคนเข้าเมือง)คุณต้องไม่กรอกจุดประสงค์ในการเข้ามาประเทศเกาหลี ใต้ในเอกส ารว่า Business อย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นคุณจะต้องเสียเวลากับกิริยาก้าวร้าวและไม่รับฟังเหตุผลของพนักงาน ที่นั่นจ นคุณอาจจะฉุนขาดได้ ดังนั้นไม่ว่าคุณจะมาที่เกาหลีเพื่ออะไร คุณต้องบอกและกรอกไปว่าคุณคือ Tourist

ที่มา : http://www.toptenthailand.com/display.php?id=1104