วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

[HD-720p] 111022 SNSD - The Boy @ Music Core

บอลไทยในระบบเชเฟอร์



การเสมอกันของซาอุดีอาระเบีย กับโอมาน ทำให้ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยของเรา 
ยังมีลุ้นอีกเฮือกที่จะผ่านเข้าสู่รอบ 10 ทีมสุดท้ายของศึกคัดบอลโลกเอเชีย

โดยนัดสุดท้ายในเดือน ก.พ.ปีหน้า ไทยจะต้องบุกไปเอาชนะโอมานถึงถิ่น แล้วลุ้นให้ 
ซาอุฯออกไปแพ้ออสเตรเลีย เราจึงจะสมหวัง แต่หากทีมออสซี่ กับซาอุฯเกิดเสมอกัน 
เราก็ต้องถล่มโอมานให้ได้ถึง 3 ลูก ซึ่งต้องถือเป็นงานที่ยากเย็นแสนเข็ญ 
แต่พวกเราแฟนบอลชาวไทยก็ต้องเชียร์กันจนหยดสุดท้าย

น่าเสียดายเกมเมื่อวันก่อน เราพ่ายออสเตรเลีย 0-1 คาสนามศุภชลาศัย 
ทำให้ไม่มีคะแนนติดมือ ไม่อย่างนั้นคงได้ลุ้นสนุกกว่านี้

อย่างไรก็ตาม ถึงเราจะแพ้ แต่ก็ต้องขอชื่นชมฟอร์มการเล่นว่าประทับใจคนดูเป็นยิ่งนัก 
เพราะแข้งไทยทุกคนแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท 
พยายามที่จะโค่นเอาชนะยักษ์ใหญ่แห่งโอเชียเนียลงให้ได้

เล่นได้เข้าตาอย่างนี้ไม่มีใครใจร้ายต่อว่าต่อขานแน่นอนครับ ผมรับประกัน

ซึ่งบุคคลที่พวกเราสมควรต้องยกเครดิตให้เต็มๆก็คือ “วินนี่” วินฟรีด เชเฟอร์ 
กุนซือเยอรมัน ที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงการเล่นของนักบอลไทย ให้ดูดี มีทรง 
ต่างจากอดีตอย่างชัดเจน

แม้บางครั้งเรื่องของการจัดตัวผู้เล่น อาจจะสร้างความหงุดหงิดใจให้ผมอยู่บ้าง 
โดยเฉพาะแนวรุกที่เชเฟอร์นิยมใช้ศูนย์หน้าเพียงตัวเดียวอยู่ร่ำไป

แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องเล็ก 
เมื่อเทียบกับการที่เขาเข้ามาปรับจูนระบบให้กับทีมชาติไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ขอย้ำอีกรอบว่า สมาคมฟุตบอลฯตัดสินใจถูกต้องแล้วครับ 
ที่เลือกโค้ชชาวด๊อยท์ชคนนี้มากุมบังเหียนทีมชาติ


เพราะฝีไม้ลายมือของ “วินนี่” ไม่ธรรมดาจริงๆ 
ถือเป็นยอดกุนซือที่ฝากความหวังไว้ได้ว่าจะพาฟุตบอลไทยไปถึงฝั่งฝันในอนาคต 
ถ้าเราให้เวลาเขาสร้างทีมอย่างจริงจัง แบบเป็นขั้นเป็นตอน

หรือถ้าจะให้สมบูรณ์แบบ ผมว่านับแต่นี้ไป ทีมชาติทุกชุด ไล่ตั้งแต่เยาวชน 
มาจนถึงชุดใหญ่ ควรจะให้ เชเฟอร์ เข้าไปช่วยวางระบบให้ 
เพื่อให้เป็นไปแนวทางเดียวกัน

หากเจ้าตัวมีลูกน้องฝีมือดี ก็ให้ดึงมาช่วยคุมทีมในรุ่นต่างๆมันเสียเลย 
จะได้ง่ายต่อการพัฒนาที่ต้องเชื่อมต่อกัน เหมือนรับไม้ผลัด

ซึ่งแนวทางนี้ ญี่ปุ่น เคยทำสำเร็จมาแล้ว ในยุคที่มีฟิลิป ทรุสซิเยร์ 
กุนซือชาวฝรั่งเศส คุมทีมชาติชุดใหญ่

และทรุสซิเยร์คนนี้นี่แหละก็เป็นคนลงไปวางระบบให้กับทีมเยาวชนทั้งรุ่น 16 ปี 19 ปี 
จนถึงทีมโอลิมปิก ให้ทีมชาติซามูไรแข็งแกร่ง อย่างยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้

ผมว่าไม่มีอะไรเสียหายเลยครับ ถ้าเราจะลอกโมเดลนี้มาพัฒนาทีมชาติไทย 
เพราะมหาอำนาจลูกหนังเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น พิสูจน์มาแล้วว่ามันได้ผลจริง


อย่างไรก็ตาม ทุกความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่อดทนให้เวลากับมัน 
เพราะอย่าลืมว่ากรุงโรมไม่มีทางสร้างเสร็จได้ในวันเดียว

แฟนบอลทั้งหลายก็เหมือนกัน ต้องรู้จักใจเย็นๆ 
อย่าเพิ่งไปด่วนสรุปว่าทีมชาติชุดนี้มีเด็กฝาก–เด็กเส้น หรือเลือกที่รัก มักที่ชัง 
ซึ่งผมว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป
โค้ชแต่ละชาติ แต่ละคนมีมุมมอง และสไตล์การทำทีมที่แตกต่างกัน

จะให้ถูกอกถูกใจทุกคนไปซะหมด ก็คงเป็นไปไม่ได้!!!



ที่มา ไทยรัฐออนไลน์

คู่รักต่างวัย"เดมี่-แอชตัน"ประกาศ"เตียงหัก" หลังครองคู่มานาน 6 ปี



สำนักข่าวเอพีรายงานวานนี้ (17 พ.ย.)ว่า เดมี มัวร์ ประกาศยุติความสัมพันธ์กับแอชตัน คุชเชอร์ แฟนหนุ่มวัยคราวลูกแล้ว หลังจากที่แต่งงานกันมานานกว่า 6 ปี หลังจากชีวิตรักของทั้งคู่เริ่มระหองระแหงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และตกเป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์แทบลอยด์อยู่บ่อยครั้ง ท่ามกลางข่าวลือที่ว่าแอชตันอาจนอกใจมัวร์


มัวร์ วัย 49 ปีเปิดเผยว่า เธอรู้สึกเสียใจและหนักใจอย่างมากต่อการตัดสินใจยุติชีวิตสมรสกว่า 6 ปีกับคุชเชอร์ ในฐานะผู้หญิง แม่ และภรรยา เธอยังคงยึดถือค่านิยมและความเชื่อบางอย่างไว้อยู่เสมอ และด้วยสิ่งนี้นี่เองที่ทำให้เธอเลือกที่จะเดินหน้าต่อไป แม้ว่ามันอาจจะเป็นช่วงที่เธอต้องใช้ความพยายามในการประคับประคองชีวิตมากขึ้นก็ตาม และร้องขอความเป็นส่วนตัวเพื่อให้ตนสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้

ทั้งสองถือเป็นคนดังที่มักใช้เว็บไซต์สังคมออนไลน์เพื่อติดต่อสื่อสารกับแฟนๆมากที่สุดคนหนึ่ง โดยคุชเชอร์มีผู้ติดตามเขาผ่านบัญชีทวิตเตอร์กว่า 8 ล้านคน และเฟซบุ๊กกว่า 10 ล้านคน ขณะที่มัวร์มีผู้ติดตามทางทวิตเตอร์มากกว่า 4 ล้านคน

ทั้งนี้นักแสดงหนุ่มวัย 33 ปี กล่าวในทวิตเตอร์วานนี้ว่า เขาจะขอจดจำช่วงเวลาดีๆที่เขามีระหว่างที่ใช้ชีวิตร่วมกับมัวร์  ชีวิตสมรสเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในโลกและโชคไม่ดีที่บางครั้งมันก็ล้มเหลว

เดมี มัวร์ กล่าวในปี 2007 ว่าความสัมพันธ์ของเธอและแอชตัน คุชเชอร์ ซึ่งอายุน้อยกว่าเธอถึง 15 ปี เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ จากนั้น คุชเชอร์ต้องทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยงของลูกสาวของเดมี มัวร์ ถึงสามคน ได้แก่ รูเมอร์, สเกาต์ และทาลลูลาห์ เบลล์ ที่เกิดจากสามีคนก่อนของเธอ คือบรู๊ซ วิลลิส ซึ่งครองคู๋กันมานานกว่า 13 ปี มัวร์ และวิลลิส หย่าขาดกันเมื่อปี 2000 แต่ยังคงเป็นเพื่อที่ดีต่อกัน ขณะที่มักปรกฏภาพของทั้งสามออกงานสังคมด้วยกันบ่อยครั้ง นอกจากนั้นทั้งคู่ยังไปร่วมงานสมรสของวิลลิสกับเอ็มมา เฮมมิ่ง ภรรยานางแบบคนใหม่เมื่อปี 2009 อีกด้วย

ทั้งมัวร์และคุชเชอร์ยังร่วมก่อตั้งมูลนิธิที่ใช้ชื้อว่า ดีเอ็นเอ ฟาวน์เดชัน หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดมีแอนด์แอชตัน ฟาวน์เดชัน เมื่อปี 2010 เพื่อรณรงค์ต่อต้านการค้าประเวณีเด็กหญิงทั่วโลก ต่อมาจึงได้รับการแต่งตั้งจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นตัวแทนเพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์


ที่มา มติชนออนไลน์

สร้างความสุขจากตัวเรา




คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผินๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้งๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี 

ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่างๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า ชีวิต (ของผม) เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่....มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” 
เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่นๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไปด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ 

คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้งๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด 

แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้งๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้าที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน 

ใช่หรือไม่ว่าสิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ 

มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน 

พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยัง อยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม บ่อยครั้ง ของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา 

จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้งๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา 

ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่าและความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก เฉยๆ เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม 

เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน 

ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมากๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ ดี 

ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มา เทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง 

คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใครๆ ก็นิยมใช้กัน นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้มีแฟนที่ดีก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าแฟนของคนอื่นสวยกว่า หล่อกว่า หรือเอาใจเก่งกว่า แม้มีลูกที่น่ารักก็ยังไม่พอใจเพราะรู้สึกว่าสู้ลูกของคนอื่นไม่ได้ แม้จะมีหน้าตาดี้ ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา 
การมองแบบนี้ทำให้ ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง 

ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมาคาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ 
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่ามิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือ ยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี 
นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้นแม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้และการไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง


ที่มา ธรรมะออนไลน์